วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

MYOMA UTERI From GYNE Ward

นื้องอกมดลูกพบได้มากน้อยเพียงใด? เนื้องอกมดลูกเป็นโรคที่พบได้บ่อย ในสตรี 4 คนจะพบว่ามี 1 คนเป็นเนื้องอกมดลูกโดยมักพบในวัยเจริญพันธุ์ (วัยยังมีประจำเดือน) และพบบ่อย ในช่วงอายุ 30-50 ปี ในผู้ที่ไม่เคยมีบุตร ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากโดยเฉพาะมากกว่า 70 กิโลกรัม และในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นเนื้องอกมดลูก ส่วนในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้วมักไม่เป็นเนื้องอกมดลูก ผู้ที่เป็นเนื้องอกมดลูก มักจะมีก้อนเนื้องอกจำนวนหลายๆก้อนและมีขนาดต่างๆกัน อย่าง ไรก็ตาม ในบางรายอาจพบว่า มีเนื้องอกเพียงก้อนเดียวได้ สาเหตุของการเกิดเนื้องอกมดลูกคืออะไร เนื้องอกมดลูกเป็นโรคที่มีการเจริญมากผิดปกติของกล้ามเนื้อมดลูก สาเหตุของการเกิดโรคที่แท้จริงยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าการเติบโตของเนื้องอกมีความสัมพันธ์กับระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากรังไข่ ในขณะตั้งครรภ์ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีระดับที่สูงขึ้น เนื้องอกมดลูกส่วนใหญ่ก็มักจะมีขนาดโตขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ด้วย ส่วนในวัยหลังหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีระดับลดต่ำลงมาก เนื้องอกมดลูกก็มักจะฝ่อตัวเล็กลงในวัยนี้ สัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง อาการและปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นจากเนื้องอกมดลูกมีอะไรบ้าง? เนื้องอกมดลูกนั้น เป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงและไม่ใช่โรคมะเร็ง โอกาสในการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นมะเร็งในอนาคตเกิดขึ้นน้อยกว่า 1% อย่างไรก็ตาม ก้อนเนื้องอกมดลูกในบางตำ แหน่งและขนาดที่ใหญ่อาจไปกดอวัยวะข้างเคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ ท่อไต หรือลำไส้ และทำให้เกิดอาการหรือความผิดปกติตามมาได้ เช่น ปัสสาวะบ่อย การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ การทำงานของไตบกพร่อง และท้องผูก เป็นต้น ในกลุ่มผู้ที่เป็นเนื้องอกมดลูกจะมีเพียงประมาณ 50% ที่จะมีอาการของโรคเกิดขึ้น ดังนั้นผู้หญิงที่มีเนื้องอกมดลูกหลายๆคนจึงไม่ทันรู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคเนื้องอกมดลูกแล้ว ทั้งนี้เพราะไม่มีอาการ หรือความผิดปกติทางร่างกายปรากฏให้เห็นนั่นเอง ดังนั้นเราจึงพบได้บ่อยครั้งว่า ผู้ หญิงรู้ตัวว่าเป็นเนื้องอกมดลูกก็เมื่อเข้ารับการตรวจร่างกายประจำปี ไม่ว่าจะเป็นการตรวจภาย ในหรือการตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องหรือทางช่องคลอดก็ตาม ซึ่งเมื่อมีอาการ อาการของเนื้องอกมดลูกที่พบมีดังต่อไปนี้ •ประจำเดือนมามากหรือปวดประจำเดือนประจำเดือนมามากกว่าปกติ และในบางครั้งก็ทำให้มีอาการปวดประจำเดือนเพิ่มขึ้น การที่มีประจำเดือนออกมากอาจจะทำให้เกิดภาวะซีด เพราะขาดธาตุเหล็ก (โลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก) ซึ่งการรับ ประทานธาตุเหล็กทดแทนจะช่วยรักษาภาวะซีดอันเนื่องมาจากการที่มีประจำเดือนมามากได้ เนื้องอกมดลูกอาจจะทำให้มี •อาการท้องอืดเฟ้อ ในกรณีที่ก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่ ผู้ป่วยอาจรู้สึกอึดอัด แน่นท้อง ท้องบวม หรือท้องโตขึ้น โดยเฉพาะที่บริเวณส่วนล่างของช่องท้อง (ช่องท้องน้อย/อุ้งเชิงกราน) ในบางรายอาจมีอาการปวดหลังร่วมด้วยได้ •อาการของระบบทางเดินปัสสาวะและของระบบทางเดินอาหาร ตัวก้อนเนื้องอกที่โตยื่นมาทางหน้าท้อง หรือตัวก้อนเนื้องอกเบียดดันมดลูกมาทางหน้าท้อง อาจทำให้กระเพาะปัสสาวะซึ่งอยู่ด้านหน้าของมดลูกถูกกด ลักษณะดังกล่าวจะทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อยขึ้นมาก กว่าปกติ ในบางครั้งถ้าก้อนเนื้องอกหรือมดลูกโตยื่นไปทางด้านหลังของช่องท้อง ก็จะทำให้เกิดการกดเบียดลำไส้ตรง (ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ส่วนที่ต่อกับทวารหนัก) และทวารหนัก ลักษณะดังกล่าวก็อาจส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกได้เช่นกัน •อาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ในกรณีที่ก้อนเนื้องอกโตยื่นไปในช่องคลอดหรือเป็นเนื้องอกที่ตำแหน่งปากมดลูก อาการหรือความผิดปกติที่อาจพบได้แก่ อาการปวดหรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ •มีบุตรยากและแท้งบุตรง่าย ถ้าก้อนเนื้องอกโตยื่นเข้าไปในโพรงมดลูก อาจก่อให้ เกิดการอุดตันของท่อนำไข่ได้ หรือขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อน และอาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากหรือแท้งตามมาได้ แต่ปัญหาดังกล่าวพบได้น้อย •ภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม การตั้งครรภ์ขณะที่มีเนื้องอกมดลูก เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้มีโอกาสในการผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้องเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะทารกอาจอยู่ผิดท่า หรือก้อนเนื้องอกขัดขวางการคลอดทางช่องคลอดได้ ส่วนใหญ่แล้ว การมีก้อนเนื้องอกในมดลูกไม่ได้ส่งผลเสียต่อการตั้งครรภ์มากนัก ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ ได้แก่ อาการปวดที่ก้อนเนื้องอก อันเนื่องมาจากก้อนเนื้อโตเร็วมากในช่วงตั้งครรภ์ จากมีฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นมาก ทำให้เลือดมาเลี้ยงก้อนเนื้อไม่ทัน หรืออาจเกิดจากการบิดขั้วของตัวก้อนเนื้องอก ซึ่งในกรณีหลังนี้พบได้น้อย การป้องกันการเกิดเนื้องอกมดลูกทำได้อย่างไรบ้าง? ในปัจจุบัน สาเหตุของการเกิดเนื้องอกมดลูกยังไม่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็ดี ฮอร์โมนเอส โตรเจนน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเนื้องอกมดลูก มีความเป็นไปได้สูงที่ว่าเนื้องอกมดลูกนั้น เป็นโรคหนึ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ดังนั้นการป้องกันการเกิดโรคในบางครั้งอาจทำได้ค่อนข้างยาก อย่างไรก็ตาม แนวทางในการป้องกันอาจทำได้ดังนี้ 1.วิธีคุมกำเนิด ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นเนื้องอกมดลูก หากต้องการคุมกำเนิด อาจเลือกการใส่ห่วงหรือใช้ถุงยางอนามัยหรือการใช้ยาฉีด ยาฝัง ที่มีฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) แทนการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน 2.ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะดังกล่าวแล้วว่า โรคนี้พบได้สูงขึ้นในคนมีน้ำหนักตัวเกิน 3.รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เพราะไขมันจะเป็นแหล่งในการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน ดังนั้นถ้ามีปริมาณไขมันในร่างกายเพิ่มพูนมากขึ้น ปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนก็จะมากขึ้นด้วย 4.ออกกำลังกายแบบแอโรบิค 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งจะช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์ โมนได้ 5.ลดหรือหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น แยม (Jam) หรือเจลลี (Jelly) บางชนิด ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง หรือสมุนไพรบางชนิด เช่น โสมบางชนิด การวินิจฉัยเนื้องอกมดลูกทำได้อย่างไร? การตรวจวินิจฉัยเนื้องอกมดลูกทำได้หลายวิธี วิธีที่เป็นที่นิยม ได้แก่ การตรวจภายในโดยสูตินรีแพทย์ และการตรวจอัลตราซาวด์ทางหน้าท้องหรือทางช่องคลอด การทำอัลตราซาวด์นั้น จะช่วยบอกว่า อาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยหรือก้อนที่คลำได้จากการตรวจนั้น เกิดจากเนื้องอกมดลูกจริง ไม่ใช่โรคหรือก้อนที่เกิดจากโรคอื่น วิธีการรักษาเนื้องอกมดลูกมีอะไรบ้าง? แนวทางการรักษาเนื้องอกมดลูก ได้แก่ 1.การสังเกตอาการ การรักษาด้วยวิธีนี้จะทำในกรณีที่เนื้องอกมดลูกไม่ได้ก่อให้เกิดอาการหรือความผิดปกติกับร่างกาย ในผู้ป่วยหลายๆราย ถึงแม้จะมีอาการ หรือความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายบ้าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงใดๆทั้งต่อการดำเนินชีวิต ประจำวัน หรือต่อสุขภาพในระยะยาว ก็อาจเลือกรักษาด้วยการสังเกตอาการได้ ทั้งนี้เพราะก้อนเนื้องอกที่พบจะมีขนาดเล็กลงหรือฝ่อตัวลงได้เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ดังนั้นอาการหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายก็จะหายไปด้วยในที่สุด ในช่วงเวลาของการสังเกตอาการนี้ สูตินรีแพทย์อาจทำการนัดตรวจเป็นระยะทุก 3-6 เดือน โดยอาจตรวจภายใน หรืออัลตราซาวด์ร่วมด้วย และในช่วงการติดตามนี้หากผู้ป่วยมีอาการ หรือมีความผิดปกติรุนแรงขึ้น หรือก้อนเนื้องอกโตขึ้นเร็ว สูตินรีแพทย์ก็อาจแนะนำให้ทำการรักษาด้วยวิธีอื่นต่อไปตามความเหมาะสม 2.การใช้ยารักษา ในปัจจุบัน ทางการแพทย์ไม่มียาที่สามารถจะรักษาเนื้องอกมดลูกให้หายขาดได้ ยาที่ใช้ทั่วไปจะเป็นยาที่ช่วยทำให้อาการต่างๆดีขึ้น หรือช่วยให้ก้อนเนื้องอกลดขนาดลงชั่วคราว 1.การใช้ยารักษาเพื่อบรรเทาอาการ ได้แก่ ยาที่ใช้ลดปริมาณประจำเดือน ซึ่งอาจใช้ได้ผลดีในบางรายแต่มักจะไม่ได้ผลในรายที่มีก้อนเนื้องอกขนาดใหญ่ๆ 1.Tranexamic acid รับประทาน 3-4 ครั้งต่อวัน ตลอดช่วงที่กำลังมีประจำเดือนจะสามารถช่วยลดปริมาณประจำเดือนลงได้ 2.ยาต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory medicines) เช่น Ibuprofen และ Mefenamic acid ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้เมื่อรับประทานยา และสามารถใช้ยาเฉพาะในวันที่มีอาการปวดประจำเดือนเท่านั้นก็ได้ ยาในกลุ่มนี้จะช่วยลดระดับของสารพรอสต้าแกลนดิน (Prostaglandin) ในโพรงมดลูก 3.ยาเม็ดคุมกำเนิด จะช่วยลดทั้งปริมาณและอาการปวดประจำเดือน 4.การใส่ห่วงอนามัยที่มีฮอร์โมนลีโวนอร์เจสเทรลบรรจุอยู่ในห่วง (Levonorgestrel intrauterine system;LNG-IUS) เข้าไปในโพรงมดลูก การใส่ห่วงอนามัยชนิดนี้ภายในโพรงมดลูกจะก่อให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนโปรเจสโตเจน (Progestrogen) ที่มีชื่อเรียกว่าลีโวนอร์เจสเทรลออกจากห่วงทีละน้อยๆอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวลง จึงสามารถช่วยลดปริมาณประจำเดือนลงได้ อย่างไรก็ตาม การใส่ห่วงชนิดนี้ในผู้ที่มีเนื้องอกอาจทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากก้อนเนื้องอกอาจขวางทาง ทำให้ใส่ห่วงได้ยากกว่าปกติ 2.การใช้ยารักษาเพื่อให้ก้อนเนื้องอกมีขนาดเล็กลง เช่น การใช้ยาที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนที่กระตุ้นให้มีการหลั่งของโกนาโดโทรปิน มีชื่อเรียกว่า gonadotrophin-releasing hormone (GnRH) analogue ยาตัวนี้จะทำให้ระดับเอสโตรเจนในร่างกายลดลง ก้อนเนื้องอกจึงยุบลงได้ จึงทำให้อาการผิดปกติต่างๆที่พบ เช่น ประจำเดือนมามาก ปวดประจำเดือน หรืออาการที่ก้อนเนื้องอกไปกดทับอวัยวะต่างๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะ ไส้ตรง หรือทวารหนักหายไปในขณะที่ใช้ยา อย่างไรก็ตาม การที่ระดับเอสโตรเจนลดลงนั้นก็ทำให้เกิดอาการต่างๆเหมือนผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เช่น ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมาก อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อระบบอื่นๆของร่างกาย ที่สำคัญคือ ทำให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็วจนอาจทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้ ดังนั้นการใช้ยาตัวนี้จึงควรใช้ไม่นานเกิน 6 เดือน โดยทั่วไปแล้ว การใช้ยาในกลุ่มนี้มักใช้เพียงชั่วคราว 3-6 เดือน เพื่อช่วยลดขนาดของก้อนและทำให้สามารถทำการผ่าตัดได้ง่ายขึ้น 3.การผ่าตัดรักษา ในปัจจุบันการผ่าตัดรักษาทำได้หลายวิธี ดังนี้ 1.การตัดมดลูก เป็นวิธีการรักษามาตรฐานที่ใช้กันมานาน และเป็นวิธีที่นิยมที่สุดในปัจจุบัน นิยมใช้ในการรักษาเนื้องอกมดลูกที่ก่อให้เกิดอาการ หรือความผิดปกติของร่างกาย และเป็นการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่บุตรเพียงพอแล้ว 2.การตัดเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออก (Myomectomy) เป็นวิธีที่นิยมในผู้ที่ยังต้องการมีบุตรในอนาคต การผ่าตัดนี้จะเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออกแต่ยังเหลือมดลูกไว้ อย่างไรก็ดี การผ่าตัดด้วยวิธีนี้อาจไม่ประสบความสำเร็จในทุกคน บางรายหากมีการเสียเลือดมากอาจต้องลงท้ายด้วยการตัดมดลูก การผ่าตัดเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออกนี้ อาจทำได้โดยการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ผ่าตัดผ่านกล้องส่องทางหน้าท้อง (การผ่าตัดผ่านทางกล้อง) หรือการผ่าตัดผ่านกล้องส่องผ่านเข้าไปในโพรงมดลูก การจะผ่าตัดในลักษณะใดขึ้นกับขนาด จำนวนและตำแหน่งของก้อนเนื้องอก ตลอดจนความชำนาญของแพทย์และความพร้อมของอุปกรณ์ในแต่ละสถาน ที่ให้บริการ สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การกลับเป็นซ้ำของเนื้องอกภายหลังจากการผ่าตัดแล้ว พบได้ค่อนข้างบ่อย 3.การทำให้หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงมดลูกและก้อนเนื้องอกเกิดการอุดตัน (Uterine artery embolisation) การรักษาด้วยวิธีนี้ให้การรักษาโดยรังสีแพทย์ที่ชำนาญเฉพาะทาง วิธีการรักษาทำโดยการใช้สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงที่ขาแล้วสอดต่อไปยังหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงมดลูก แล้วสอดต่อไปยังหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงเฉพาะก้อนเนื้องอกด้วย โดยใช้ภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์ช่วยนำทางในการสอดสายสวน หลังจากที่ได้ตำแหน่งหลอดเลือดแดงที่ต้องการ รังสีแพทย์ก็จะฉีดสารเข้าไปในสายสวนเพื่อก่อให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนเนื้องอก ทำให้ก้อนเนื้องอกขาดเลือดและลดขนาดลงในที่สุด ซึ่งโดยส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลาประมาณ 6-9 เดือน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยมักจะสังเกตว่าอาการที่เคยเป็นมักจะดีขึ้นภายใน 3 เดือน อย่างไรก็ดี อาจมีผู้ป่วยบางรายที่ไม่หายจากการรักษาด้วยวิธีนี้ 4.วิธีรักษาอื่นๆ การรักษาโดยใช้เลเซอร์ (Laser) หรือคลื่นเสียงความถี่ต่ำทำลายก้อนเนื้องอกขณะที่ใช้การเอ็กซ์เรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic resonance imaging;MRI) ช่วยในการระบุตำแหน่งในการแทงเข็มผ่านผิวหนังเข้าไปที่ตรงกลางของก้อนเนื้องอก จัดเป็นวิ ธีการใหม่ที่ใช้ในการรักษา โดยพลังงานจากเลเซอร์ หรือจากคลื่นเสียงความถี่ต่ำ จะถ่ายทอดผ่านเข็มดังกล่าวเข้าไปทำลายก้อนเนื้องอก วิธีการนี้ไม่สามารถใช้ได้กับเนื้องอกมดลูกทั้งหมด และในปัจจุบันประโยชน์ และโทษจากการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวก็ยังไม่เป็นที่ปรากฏชัดเจน ควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อสงสัยเป็นเนื้องอกมดลูก? ในผู้หญิงปกติที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกปี และหนึ่งในขั้นตอนของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก สูตินรีแพทย์ส่วนใหญ่ก็มักจะตรวจภายในเพื่อตรวจหาความผิดปกติของมดลูกและปีกมดลูกให้ด้วย ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ผู้ที่เป็นเนื้องอกมดลูกมีเพียง 50% ที่จะมีอาการผิดปกติ ดังนั้นการตรวจภายในประจำปีจะสามารถช่วยวินิจฉัยเนื้องอกมดลูกในกลุ่มที่ไม่มีอาการผิดปกติได้ สำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนผิดปกติ หรือมีลักษณะเลือดประจำเดือนออกเป็นก้อนจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปวดประจำเดือนมากกว่าที่เคยเป็น หรือมีอาการปวดร้าวไปที่ตำแหน่งอื่นทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรืออาจคลำได้ก้อนในท้อง ท้องอืด หรือท้องโตขึ้น ควรรีบปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจภายใน หรืออัลตราซาวด์เพื่อการวินิจฉัยโรค สำหรับผู้ที่เป็นเนื้องอกมดลูกแล้ว และตัดสินใจที่จะรักษาโดยการสังเกตอาการ อาการที่ต้องสังเกตและรายงานต่อแพทย์สำหรับการนัดตรวจครั้งต่อไป คือ ปริมาณและลักษณะของประจำเดือน อาการปวดประจำเดือน การขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ ตลอดจนอาการปวดท้อง และการโตขึ้นของก้อนเนื้องอกหากสามารถคลำได้ด้วยตน